Disconnection
“Disconnection”เป็นนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะที่นำเสนอสภาวะของจิตใต้สำนึกที่แปล“ภาษาภาพ”ออกมาเป็นภาพสัญลักษณ์ที่สื่อถึงจิตวิปลาส ของปุถุชนในการที่จะพยายามข้ามขอบเขตทางจารีตและกฏเกณฑ์ทางสังคม เพื่อให้ตนเองได้เข้าใกล้จนสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกที่เรียกว่า “อิสระ”และ “หลุดพ้น” ออกจากกรอบที่กักขังจิตวิญญาณของเราเอาไว้
ดังนั้นความหมายของคำว่า ”เส้นทาง” นั้นมีไว้เพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่างแต่ที่สำคัญก็คือการเป็น “สัญลักษณ์” ในการ “แสวงหา” ของมนุษย์ โดยในความรู้สึกส่วนลึกที่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดและจากความรู้สึกกลัวถึงขีดสุดในการ “ตายโหง” เพราะความอ่อนแอทั้งทางกายภาพ และ สภาพจิตใจของมนุษย์เองอันมีปลายทางที่มนุษย์ยังไปไม่ถึงที่เป็นทั้งความฝัน และความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์โลกพยายามที่จะค้นหา “คำตอบสูงสุด” ในจักรวาลและเราก็เชื่อว่าคำตอบของสรรพสิ่งนั้นอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอนแต่อันที่จริงจักรวาลนั้นเราไม่สามารถเชื่อได้ว่ามันมีอยู่จริง เป็นเพียงแสงของดวงดาวที่เดินทางไกลหลายล้านปีแสงอวกาศกว่าจะมาถึงดวงตาเรา
ดังนั้น “จักรวาล” ที่เราใฝ่หาคือ“ความลวงอันสมบูรณ์” และความหว้งที่เราจะค้นพบคำตอบของความจริง แห่งสรรพสิ่งในอวกาศจึงดูเป็นความหวัง ลมๆแล้งๆที่หลอกตัวเองไปวันๆแต่เหนือสิ่งอื่นใด คือจิตใจของเราภายในที่ยังหวังจะได้ค้นพบ เส้นทางหลุดพ้น จากสภาวะกดดันที่เราประสบอยู่ทั้งจาก แรงโน้มถ่วงของโลกและจากความทุกข์ในใจเราเอง
ภาพของจักรวาลที่เรามองเห็น ณ ปัจุบันจึงเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ปรากฎขึ้นจึงเป็นคล้ายความจริงเสมือนอุปมาว่าประวัติศาสตร์นั้น ไม่อาจจะเป็น ความจริงแท้ไปได้มันจึงเป็นการบิดเบือนความจริง อย่างแน่ชัดทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัวจารีตประเพณีและทัศนคติ ต่อโลกจากผู้ที่ประดิษฐ์ ประวัติศาสตร์ชิ้นนั้นขึ้นมาภาพประวัติศาสตร์ต่างๆนั้นจึงเป็น “มายาคติ” อันเป็นเครื่องมือ ของผู้ประดิษฐ์ประวัติศาสตร์ เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง ที่ซ้อนเร้นการเอื้อประโยชน์ต่อ “การเมืองส่วนตัว” แทบทั้งสิ้น
ดังนั้นภาพที่ปรากฎจึงเป็นภาพที่ถูกเลือกให้ปรากฎแล้วมีอีกหลายส่วนที่อาจจะไม่สามารถเห็นได้และกลับกลายเป็นเครื่องมือ ที่ทรงอำนาจที่อาจเอื้อประโยชน์และทำลายล้าง ให้เวลาเดียวกันโดยเฉพาะภาพความรุนแรงของสงครามและการทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง
ปัจจัยสำคัญของประเด็นนี้คือความขัดแย้งการแก่งแย่งและความเชื่อที่แตกต่างทั้งทางเชื้อชาติศาสนาและลัทธิทางการเมืองซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น “มายาคติ” ที่ซับซ้อนแฝงมากับคำว่า “ความดี” “ความศรัทธา” และ “วัฒนธรรม” และมายาคตินี้ก็ทำงานกับผู้คนเพื่อกำหนด ความเป็นไปในโลก เพื่อตอบสนองความต้องการ ความบ้าเถื่อนและความอ่อนแอของมนุษย์ที่ต้องการแสวงหาคำตอบสูงสุดตามความเชื่อ “ส่วนตัว” ของตนเองเท่านั้น
|